นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยว่า ผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนเดือน พ.ค. 66 พบว่า ในอีก 3 เดือนข้างหน้า ความเชื่อมั่นนักลงทุนอยู่ที่ระดับ 77.70 ปรับลดลง 26.8% จากเดือนก่อนหน้ามาอยู่ในเกณฑ์ซบเซา เป็นครั้งแรกในรอบ 8 เดือน โดยนักลงทุนมองว่าการจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้งจะเป็นปัจจัยหนุนความเชื่อมั่นมากที่สุด รองลงมาคือการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ สำหรับปัจจัยที่ฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุด คือ ปัญหาการเมืองหลังการเลือกตั้ง รองลงมาคือการถดถอยของเศรษฐกิจในประเทศ และการเก็บภาษีตลาดทุน
อย่างไรก็ตาม จะเห็นว่าในครึ่งแรกของเดือน พ.ค. 66 ดัชนีหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องก่อนที่จะมีการเลือกตั้งในวันที่ 14 พ.ค. 66 สวนทางกับตลาดหุ้นโลกที่ปรับตัวลงจากความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจโลกและความล่าช้าในการยกระดับเพดานหนี้สาธารณะ ส่วนในช่วงครึ่งหลังของเดือนตลาดปรับตัวลงมากกว่าตลาดหุ้นอื่นทั่วโลก จากความกังวลต่อปัญหาเรื่องการจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้งและนโยบายเศรษฐกิจ และกลับมาปรับขึ้นในช่วงปลายเดือนหลังจากมีความชัดเจนเกี่ยวกับเอ็มโอยูในการจัดตั้งรัฐบาลผสม
ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือน พ.ค. 66 ดัชนีหุ้นปิดที่ 1,533.54 จุด ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.3% จากเดือนก่อนหน้า นักลงทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 กว่า 33,047 ล้านบาท โดยตั้งแต่ต้นปี 66 นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิรวม 97,006 ล้านบาท ปริมาณซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในเดือน พ.ค. 66 อยู่ที่ 54,819 ล้านบาท
นายกอบศักดิ์ กล่าวว่า ปัจจัยต่างประเทศที่ต้องติดตามได้แก่ สถานการณ์เงินเฟ้อในประเทศเศรษฐกิจหลักทั่วโลกที่อาจกลับมาเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี อาจกดดันให้ธนาคารกลางแต่ละประเทศต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยเพิ่มเติม และส่งผลกระทบต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก รวมถึงปัญหาความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงอยู่ อีกทั้งการขยายตัวของเศรษฐกิจจีนที่ขยายตัวได้น้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้
ส่วนปัจจัยในประเทศที่น่าติดตาม ได้แก่ ความรวดเร็วในการจัดตั้งรัฐบาลซึ่งหากล่าช้าจะส่งผลกระทบต่อการอนุมัติร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 67 รวมถึงความชัดเจนในการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจที่ได้ประกาศออกมา อาทิ นโยบายกระตุ้นการบริโภค นโยบายปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ และนโยบายพลังงาน เช่น การปรับลดค่าไฟ รวมถึงนโยบายด้านภาษี